บางโครงการคอนโดชูจุดเด่นของสระว่ายน้ำมาเป็นจุดขาย เช่น
สระว่ายน้ำระบบเกลือ หรือสระว่ายน้ำระบบโอโซน ซึ่งผู้อ่านหลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่า สระว่ายน้ำประเภทไหนมีคุณสมบัติอย่างไร บทความนี้ทาง Checkraka.com จะมาแนะนำให้ทราบเป็นข้อมูลเบื้องต้นกันครับ
เวลาเราเข้าชมโครงการบ้าน หรือคอนโดฯ เราอาจเคยได้ยินพนักงานขายโฆษณาว่า สระว่ายน้ำเขาเป็นระบบเกลือบ้าง (
โครงการคอนโดใหม่ๆ ที่ใช้ก็เช่น The Niche Mono รัชวิภา หรือ The Tree Condo ประสานมิตร) ระบบโอโซนบ้าง (โครงการคอนโดใหม่ๆ ที่ใช้ก็เช่น โครงการ The Room ทั้งหมดของ L&H) หรือคลอรีนบ้าง (ซึ่งเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ของคอนโดและ
บ้านจัดสรรในบ้านเรา) เรามาดูกันครับว่าแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
1. ระบบคลอรีน (Chlorine)
ระบบนี้ใช้คลอรีนเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคในน้ำ เป็นระบบที่นิยมในคอนโดเมืองไทย เพราะราคาติดตั้งไม่แพง (แต่ค่าคำบำรุงรักษาจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับระบบเกลือ) โดยคลอรีนอาจอยู่ในรูปของเหลว เม็ด ก้อน หรือแบบผงก็ได้ วิธีการใช้ก็เพียงใส่คลอรีนลงไปในน้ำ โดยจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อน้ำในสระมีค่า pH (ค่าความเป็นกรด-ด่าง) อยู่ระหว่าง 7.2-7.8 ซึ่งถ้าหากน้ำในสระมีค่าความเป็นด่างมากก็ต้องเติมกรดลงไป ค่าความเป็นด่างจะเพิ่มขึ้นได้จากเหงื่อไคลของคนที่ลงไปว่ายน้ำโดยไม่ชำระร่างกายก่อน หรืออาจจะเกิดจากเศษใบไม้ใบหญ้าก็ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำในสระมีค่าความเป็นกรดสูงขึ้น ก็ต้องเติมสารที่เพิ่มความเป็นด่างเพื่อปรับค่า pH ดังนั้นจึงต้องมีการวัดค่า pH ของน้ำในสระทุกๆ วัน ข้อควรระวังสำหรับคนที่ว่ายน้ำสระแบบนี้คือ บางคนอาจมีการแพ้คลอรีนได้ เช่น เกิดอาการเส้นผมแห้งกรอบ ผิวแห้ง หรือตาแดง เพราะคลอรีนเป็นสารที่มีผลกระทบต่อความชุ่มชื้นของผิวหนัง ดังนั้น ควรใส่คลอรีนในตอนเย็น หรือหลังจากสระว่ายน้ำปิดให้บริการแล้ว (และเพื่อไม่ให้คลอรีนสลายเร็วเกินไปเมื่อโดนแดดหากใส่คลอรีนในตอนกลางวันด้วย)
2. ระบบน้ำเกลือ (Saltwater)
ระบบนี้ใช้เกลือธรรมชาติมาเป็นตัวฆ่าเชื้อโรค โดยการเติมเกลือเข้าไปในสระว่ายน้ำ (ซึ่งการเติมช่วงแรกๆ อาจถี่หน่อย แต่หลังจากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ) และน้ำที่มีเกลือเหล่านี้จะมีการไหลเวียนผ่านกระบวนการทางไฟฟ้า (Electrolysis) ในเครื่องผลิตคลอรีนอัตโนมัติจากเกลือ (Salt Chlorinator) ทำให้สระว่ายน้ำประเภทนี้จะมีคลอรีนเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยแบบอัตโนมัติเสมอในประมาณน้อย ความเค็มของน้ำในสระว่ายน้ำประเภทนี้จะเป็นเพียง 1 ใน 10 ของความเค็มในน้ำทะเลจริงเท่านั้น ระบบน้ำเกลือนี้เป็นระบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดีอีกด้วย ระบบนี้ค่าใช้จ่ายติดตั้งตอนแรกจะค่อนข้างสูง แต่ค่าดูแลรักษาจะไม่ค่อยสูง (เมื่อเทียบกับระบบคลอรีน) ข้อควรระวังของระบบนี้คือ เกลือเป็นสารกัดกร่อน ดังนั้น เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้รอบๆ สระว่ายน้ำ ควรเป็นสิ่งที่สามารถทนทาน หรือไม่มีปัญหากับการกัดกร่อนของเกลือ
3. ระบบโอโซน (Ozone)
ระบบนี้ใช้ก๊าซโอโซนซึ่งผลิตจากเครื่องอัดอากาศมาบำบัดน้ำในสระว่ายน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค เป็นระบบที่ฆ่าเชื้อโรคได้เร็วกว่าคลอรีนหลายเท่าโดยไม่มีสารตกค้าง แต่จะมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคประมาณ 3-6 ชั่วโมงเท่านั้น จนกว่าน้ำจะกลับมาผ่านระบบโอโซนอีกครั้ง การติดตั้งระบบโอโซนนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับระบบน้ำเกลือ และระบบคลอรีน เพราะมีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคที่สูง เร็ว และไม่มีผลกระทบต่อผิวหนัง หรือร่างกาย ประเด็นที่ควรรู้ของระบบนี้คือ ขณะน้ำอยู่ในสระจะไม่มีการฆ่าเชื้อโรคจนกว่าน้ำจะกลับมาผ่านระบบโอโซนอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าเกิดมีเชื้อโรค หรือสิ่งสกปรกเข้ามาในน้ำในระหว่างที่น้ำยังไม่ได้ผ่านการโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือสกปรกได้ ดังนั้น ถ้าอยากให้น้ำสะอาดสุดๆ อยู่ตลอดเวลา ควรใช้ระบบโอโซนควบคู่กับระบบอื่นด้วย เช่น ระบบคลอรีน หรือระบบน้ำเกลือ หวังว่าข้อมูลความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ สุดท้ายนี้ เราขอปิดท้ายกันเล่นๆ ด้วยภาพสระว่ายน้ำที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ (ตาม Guinness World Records 2012) คือ สระว่ายน้ำในรีสอร์ทชื่อ San Alfonso del Mar ในประเทศชิลี แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
![](https://lh3.googleusercontent.com/blogger_img_proxy/AEn0k_tWX46eFoV-DXN4tS5AbHnONDoe2TJ03EftTOD3sls8D30HhRNiGlQMf4gswQzUbv0yBt3Swbn05ZI5q8EdoZ6d5D6FgWsVkjyLMbcpfcMn6OrUwdVMUd0r2zA005LaEcHXeMlLr6YX2w=s0-d)